อาการจากจุดเล็กๆ อาจลุกลามได้

คันช่องคลอด บางกรณีอาจมีตกขาวและมีกลิ่น

ประสบการณ์ผู้ใช้ ริกซี่ อยู่ด้านล่างคะ

ริกชี่ RIXIE ยินดีต้อนรับค่ะ

คันช่องคลอด ความเสี่ยงแฝง ที่มีมากกว่าความรำคาญ

อาการคันช่องคลอด อาจก่อให้เกิดความรู้สึก หงุดหงิด รำคาญได้ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นมัน คือความผิดปกติของช่องคลอด ทีทำให้เรารู้สึกคัน ในภาวะติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้ผู้หญิงเรามีอาการที่แสดงออกมาแตกต่าง ชนิดของเชื้อที่เติบในช่องคลอด ก็เป็นหนึ่งในตัวแปรหลัก ที่ทำให้ผู้หญิงเราหลายคน มีอาการ คันช่องคลอด ช่องคลอดมีกลิ่น คันช่องคลอดตกขาว คันช่องคลอดเป็นผืนแดง ได้คะ อาการคันคืออาการอักเสบที่บริเวณผิวหนัง หรือเนื้อเยื้อที่ได้รับเชื้อ หากมีเชื้อชนิดรุนแรงแทรกมารวมด้วย ก็ทำให้มีอาการที่รุนแรงลุกลามและอันตรายมากขึ้นไปอีก

หากผู้หญิงอย่างเรา เริ่มตระหนัก เพื่อทำความเข้าใจ

เกี่ยวกับ อาการ คันช่องคลอด คันช่องคลอดตกขาว ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็น คันช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็ทำให้เรารู้เท่าทันวิธี ป้องกัน เพื่อลดโอกาสลุกลามเป็นโรคร้าย ได้มากขึ้นค่ะ

รู้หรือไม่ แนวโน้มการเกิดมะเร็งปากมดลูกมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เพียงแต่หลายคนเข้าใจว่า แค่อาการคันช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่น ในช่วงแรกๆไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งปากมดลูกแน่นอน ก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิด ที่เราจะเข้าใจแบบนี้ เพราะมะเร็งปากมดลูกไม่ได้เป็นกันง่ายๆ (มะเร็งปากมดลูกจะเริ่มแสดงอาการหลังจาก ติดเชื้อ HPV "Human Papilloma Virus" 5-10 ปีหากไม่ได้รักษา)

แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป อ่านเพิ่มเติม

อาการคันช่องคลอด ช่องคลอดมีกลิ่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น บางราย คันช่องคลอดตกขาวเยอะ หรือบางรายมีอาการ คันช่องคลอดร่วมกับ (ตกขาวสีน้ำตาล, ตกขาวสีเหลือง, ตกขาวสีเขียว) บางราย คันช่องคลอด บวม แดง แสบ ปวดท้องน้อย ร่วมด้วย หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษา อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงของการลุกลามไปสู่ มะเร็งปากมดลูกได้ หากเราไม่รีบ ดูแลรักษาตั้งแต่ต้น ก็อาจทำให้สายเกินแก้ เรามาทำความเข้าใจกันคะ

เนื่องด้วย อาการคันช่องคลอดหรือบริเวณปากช่องคลอดและอาจมีตกขาวมีกลิ่นร่วมด้วย อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ เกิดจาก

ติดเชื้อไวรัส
เชื้อรา
เชื้อแบคทีเรีย
พยาธิ
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
การใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน
การรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด
โรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุม เสี่ยงในการติดเชื้อราในช่องคลอดมากขึ้น
ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้รับการบำบัดด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าหากไม่ดูแลรักษาปล่อยให้เป็นซ้ำๆ ก็ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเป็นผลให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ การติดเชื้อไวรัส HPV

การติดเชื้อไวรัส HPV ( Human Papilloma Virus ) เป็นต้นเหตุหลักๆ ที่ทำให้เนื้อเยื่อปากมดลูกเปลี่ยนแปลง จนทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากมดลูก 80% เกิดจากการ ติดเชื้อไวรัส HPV ( Human Papilloma Virus ) เชื้อไวรัส HPV ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อไวรัส จะใช้เวลา 5-10 ปี ในการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก

ในช่วงเริ่มต้น 1-5 ปีแรกอาจจะแสดงแค่ อาการคันช่องคลอด มีตกขาวและมีกลิ่นบ้าง เพราะร่างกายยังแข็งแรง พอที่จะสู้กับเชื้อไวรัส HPV ได้ แต่พออายุ เริ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มแสดงอาการมากขึ้นเพราะ ภูมิคุ้มกันโรค เริ่มต่ำลง จึงไม่แปลกที่มะเร็งปากมดลูก ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงวัย 30-55 ปีขึ้นไป